กรม สบส. ประชุมรพ.เอกชน คลินิก เข้มมาตรฐานดูแล โรคเมอร์ส ไข้ซิก้า หนึ่งเดียวกับภาครัฐทั้งประเทศ
กรม สบส. ประชุมรพ.เอกชน คลินิก เข้มมาตรฐานดูแล “โรคเมอร์ส ไข้ซิก้า” หนึ่งเดียวกับภาครัฐทั้งประเทศ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประชุมผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนและผู้ให้บริการคลินิก แจงมาตรการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคเมอร์ส และไข้ซิก้า เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศตามแนวทางกรมควบคุมโรค ตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การดูแลรักษา การเฝ้าระวังและการส่งต่อผู้ป่วย กำชับเข้มข้นเป็นกรณีพิเศษในโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่นิยมชาวต่างชาติ หากพบแห่งใดละเลย มีโทษ 2 เด้ง ทั้งพ.ร.บ.โรคติดต่อ และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีโทษรุนแรงทั้งจำคุก ทั้งปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เช้าวันนี้ ( 2 กุมภาพันธ์ 2559 ) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน คลินิกทั่วประเทศ รวมทั้งนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน นายกสมาคมคลินิกไทย ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนบริการเขตสุขภาพ 12 เขต เจ้าหน้าที่สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ รวมกว่า 250 คน เพื่อชี้แจงแนวทางควบคุมป้องกันโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส ( Middle East Respiratory Syndrome ) และโรคไข้ซิก้า ( Zika virus disease) ให้เป็นไปตามแนวทางที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด สร้างมาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาลภาครัฐทั้งประเทศ และสร้างความเข้มแข็ง ความเชื่อมั่นระบบการควบคุมป้องกันโรคติดต่อของประเทศไทย หลังพบผู้ป่วยโรคเมอร์สรายที่ 2 ในประเทศ เป็นชาวโอมาน เมื่อ 22 มกราคม 2559 และการแพร่ระบาดของโรคไข้ซิก้าใน 20 ประเทศกลุ่มลาตินอเมริกา และแคริบเบียน ซึ่งไทยพบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2555 แต่ยังไม่มีการระบาด นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง กล่าวว่า ทั้งโรคเมอร์สและโรคไข้ซิก้าจัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่มีความเสี่ยง สามารถแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยได้สูง เนื่องจากความเจริญด้านเทคโนโลยี การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเดินทางที่สะดวกรวดเร็วมากขึ้น หากโรคดังกล่าวมีการแพร่ระบาดในประเทศไทย ย่อมหมายถึงสาธารณภัยร้ายแรง ส่งผลกระทบต่อคนไทย ตลอดจนความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม กรม สบส. ในฐานะดูแลกำกับสถานพยาบาลเอกชนทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนรวม 23,397 แห่ง ประกอบด้วยโรงพยาบาล 343 แห่ง และคลินิกต่างๆรวม 11 ประเภททั้งหมด 23,054 แห่ง จึงได้จัดเตรียมระบบความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ให้ปฏิบัติตามแนวทางและคำแนะนำที่กรมควบคุมโรค กำหนด ตั้งแต่การเฝ้าระวังโรค การตรวจวินิจฉัยโรค การดูแลรักษาพยาบาล และการส่งต่อผู้ป่วย เพื่อควบคุมจำกัดวงการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ “โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นที่นิยมเชื่อถือไว้วางใจของชาวต่างชาติ ซึ่งมีประมาณ 10 แห่ง ขอให้ปฏิบัติ อย่างเคร่งครัดเป็นกรณีพิเศษ ทั้งในด้านการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาด การแยกผู้ป่วย การรายงานผู้ป่วยตามพระราชบัญญัติโรคติดต่ออันตรายพ.ศ.2523 และการส่งต่อ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยและเตรียมรับมือการแพร่ระบาดของโรคตลอดเวลา จากการสำรวจล่าสุดพบว่าได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่างดี มีการจัดเตรียมจุดคัดกรอง ห้องแยกเฉพาะ โดยมีโรงพยาบาลเอกชนที่มีห้องแยกความดันเป็นลบ ปลอดการแพร่เชื้อสู่ภายนอก 20 แห่ง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด” อธิบดีกรม สบส. กล่าว ทางด้านนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ในการเฝ้าระวงโรคติดต่อ โรงพยาบาลเอกชนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 2 ฉบับอย่างเคร่งครัดคือ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 ทุกแห่งต้องดำเนินการ 5 ระบบ คือ 1.จุดตรวจคัดกรองผู้ป่วย ผู้สงสัย 2.จุดแยกกักผู้สัมผัสเชื้อออกจากผู้อื่นเป็นเอกเทศจนกระทั่งพ้นระยะการติดต่อของโรค 3.มีจุดกักกัน เพื่อควบคุมผู้สัมผัสเชื้อหรือเป็นพาหะให้อยู่เอกเทศ จนกว่าจะพ้นระยะการฟักตัวของโรคหรือพ้นการเป็นพาหะโรค 4.ติดตามสังเกตอาการผู้สัมผัสเชื้อหรือเป็นพาหะ โดยไม่กักกันและอาจอนุญาตให้ผ่านไปที่อื่นๆ และ 5.กำหนดสถานที่กักกันหรือที่แยกพักเป็นสัดส่วนของผู้ที่สงสัยป่วยเป็นโรคติดต่อ และปฏิบัติตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ควบคุมการปฏิบัติงานของบุคลากรให้เป็นไปตามมาตรฐาน หากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีโทษรุนแรงทั้งจำคุก ทั้งปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้กำหนดให้โรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งรายงานกระทรวงสาธารณสุขทันที หากพบผู้ป่วยหรือผู้สงสัยป่วยโรคติดต่ออันตราย รวมทั้งให้มีเครือข่ายอาสาสมัครเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคของชุมชนในพื้นที่ และให้จัดช่องทางประชาสัมพันธ์ให้แก่เครือข่ายต่างประเทศ ทราบสถานการณ์ มาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่อร่วมกัน