สบส.แนะประชาชนยึดหลักสุขบัญญัติ เป็นคัมภีร์สุขภาพดี ในปี59 ผลคุ้ม อายุยืน หน้าอ่อนกว่าวัย !!
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แนะประชาชนไทยกว่า 20 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ สลัดทิ้งพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพเสีย หันมายึดหลักสุขบัญญัติ เป็นคัมภีร์แห่งการมีสุขภาพดีในปี 2559 ปฏิบัติเป็นประจำ 10 ข้อ อาทิ อนามัยส่วนบุคคลตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อาหารการกิน ออกกำลังกาย สุขภาพจิต อนามัยสิ่งแวดล้อม ให้ผลคุ้มค่า สุขภาพดี อายุยืน ผิวพรรณสะอาดดูดี ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ป้องกันป่วยหลายโรค อาทิไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคอุจจาระร่วง นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2559 ที่ใกล้จะถึงนี้ กรมสบส. ขอเชิญชวนให้ประชาชนไทย 20 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ สลัดทิ้งพฤติกรรมสุขภาพเดิมๆที่นำการเจ็บป่วยมาให้ตนเอง เช่นการดื่มสุรา สูบหรี่ กินอาหารตามใจปาก หันมาสร้างสุขภาพดีให้ตนเองและครอบครัว ด้วยการถือฤกษ์ดีตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ ที่ 1 มกราคม2559 เป็นต้นไป ปฏิบัติตามหลักของสุขบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นคัมภีร์สุขภาพของประเทศ ใช้มานานกว่า 80 ปี แต่เนื้อหามีความทันสมัยเนื่องจากมีการปรับปรุงเนื้อหาให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนพึงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นสุขนิสัยจะส่งผลให้มีสุขภาพดีทั้งกาย ใจ และสังคม โดยมีหลัก 10 ข้อ ครอบคลุมพฤติกรรม 6 กลุ่ม ได้แก่ การออกกำลังกาย อนามัยส่วนบุคคล อาหารโภชนาการ สุขภาพจิต อุบัติภัย และอนามัยสิ่งแวดล้อม “หากปฏิบัติได้ทุกวัน จะส่งผลดีหลายระดับ ประการแรกในระดับบุคคลจะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง รูปร่างดี อายุยืน และสิ่งที่ได้ผลชัดเจน คือ ผิวพรรณสะอาด ผ่องใส ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายพึ่งการเสริมความงามช่วย ประการที่ 2 คือไม่เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะจากโรคติดต่อที่เห็นผลเร็ว เช่นไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วง โรคมือเท้าปาก โรคตาแดง ที่มีผู้ป่วยในปี 2558 รวมกัน 1 ล้าน 2 แสนกว่าคน เชื้อโรคเหล่านี้ติดต่อได้จากมือของคนปกติ ที่ไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในเสมหะ น้ำตา หรืออุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งในสุขบัญญัติได้กำหนดให้มีการล้างมือไว้อยู่แล้ว การล้างมือฟอกสบู่ อย่างถูกวิธีนานเพียง 15 วินาที ช่วยลดเชื้อโรคออกจากมือได้ถึงร้อยละ 90 ตัดวงจรแพร่โรคลงได้มาก และมีผลวิจัยในต่างประเทศ พบว่าช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากจากโรคอุจจาระร่วงได้ร้อยละ 50 และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคปอดบวมลงได้ร้อยละ 25 ประชาชนไม่ต้องเสียเวลา เสียค่าเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยลดค่ารักษาพยาบาลของรัฐบาลได้ และประการที่ 3 จะป้องกันโรคเรื้อรัง ที่ใช้เวลาก่อโรคค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ตัว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเหล่านี้เมื่อป่วยแล้วรักษาไม่หายขาด หากดูแลตนเองไม่ดีก็อาจมีโรคแทรกซ้อนตามได้อีก” อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกล่าว ทั้งนี้สุขบัญญัติ 10 ประการประกอบด้วย 1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด เช่น อาบน้ำ หมั่นสระผมเป็นประจำ ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้น ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา 2.รักษาฟันให้แข็งแรง แปรงฟันอย่างถูกต้องอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และแปรงลิ้นทุกครั้งหลังแปรงฟัน เลือกใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ 3.ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและภายหลังขับถ่าย 4.รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ดื่มนมทุกวันวันละ 2-3 แก้ว 5.งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา สารเสพติด การพนัน การสำส่อนทางเพศ ให้เกียรติเพศหญิงยึดมั่นค่านิยมรักนวลสงวนตัว 6.สร้างสัมพันธภาพครอบครัวให้อบอุ่น ทำกิจกรรมร่วมกัน สร้างความสนุกสนาน ความสุขในครอบครัว 7.ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท ระมัดระวังอุบัติเหตุในโรงเรียน การเดินทางหรือขณะทำงาน 8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 วัน วันละอย่างน้อย 30 นาที และตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อให้รู้สถานะสุขภาพของตัวเอง 9.ทำจิตใจให้ร่างเริง แจ่มใสอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี คิดบวก รู้จักให้อภัยกัน หากมีเรื่องไม่สบายใจขอให้ปรึกษาคนใกล้ชิดเช่นพ่อ แม่ เพื่อหากทางออกที่เหมาะสม ไม่สะสมความเครียดจนทำให้สุขภาพจิตเสีย และ 10.มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า ลดและหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ก่อมลพิษสิ่งแวดล้อม เช่นภาชนะที่ทำจากโฟม เป็นต้น โดยสามารถดูข้อมูลที่เว็บไซต์กองสุขศึกษา (www.hed.go.th)