สธ.-ทีเส็บ ดันไทย เป็นฮับประชุมวิชาการนานาชาติโรคตับ
สธ.-ทีเส็บ ดันไทย เป็น“ฮับประชุมวิชาการนานาชาติโรคตับ” เผยคนไทยติดเชื้อกว่า 3 ล้านคน โดยกว่า 2 ล้านคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและทีเส็บร่วมชูศักยภาพความก้าวหน้าวงการแพทย์ไทยให้เป็นฮับประชุมวิชาการ ด้านการแพทย์ในระดับนานาชาติ โดยเดือนมกราคม 2559 สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทยจะจัดประชุมวิชาการ เรื่องโรคตับภูมิภาคอาเซียนครั้งที่ 4 ที่จ.เชียงใหม่ มีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก กว่า 500 คน ร่วมนำเสนองานวิจัยความก้าวหน้า การรักษา พร้อมดันไทยขึ้นสู่ฮับด้านโรคตับ เผยต่อปีทั่วโลกป่วยโรคตับอักเสบกว่า 500 ล้านคน เสียชีวิต 1 ล้าน 5 แสน กว่าคน ส่วนคนไทยติดเชื้อกว่า 3 ล้านคน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวกว่า 2 ล้านคน เหตุจากติดเชื้อไวรัส ดื่มสุรา ไขมันพอกตับ และซื้อยากินเอง วันนี้ ( 21 ธันวาคม 2558 ) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และรองศาสตราจารย์นายแพทย์ทวีศักดิ์ แทนวันดี นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทยแถลงข่าวว่า ในวันที่ 20-23 มกราคม พ.ศ. 2559 สมาคมโรคตับฯจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมวิชาการด้านโรคตับภูมิภาคอาเซียนครั้งที่ 4 (The 4th ASEAN Perspective in Liver Diseases :APLD 2016) ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคำ จ.เชียงใหม่ มีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ นักวิจัย จากทั่วโลกร่วมประชุมกว่า 500คน นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรืองกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)หรือทีเส็บ ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยให้เป็นฮับการประชุมวิชาการ และการจัดนิทรรศการนานาชาติทางการแพทย์ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพมาตรฐาน เพิ่มขีดความสามารถของสถาบันการศึกษา สภาวิชาชีพ สถานพยาบาล ราชวิทยาลัย สมาคมผู้เชี่ยวชาญ ด้านการแพทย์ทุกสาขาในการจัดประชุมวิชาการนานาชาติทางการแพทย์ในประเทศไทย ถึงขั้นเป็นระดับอุตสาหกรรม การประชุมนานาชาติ หรือไมซ์ (MICE) ที่ยั่งยืนของประเทศ แข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งจะเกิด ประโยชน์ทั้งการ พัฒนาวิชาการองค์ความรู้การแพทย์ ยกระดับการดูแลสุขภาพประชาชนไทย และสร้างเศรษฐกิจประเทศ กระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งไทยมีความพร้อมทั้งสถานที่จัดประชุม มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ระบบความมั่นคงและปลอดภัย การขนส่งมวลชนอยู่แล้ว สำหรับการจัดประชุมโรคตับนานาชาติครั้งนี้ จะให้ผลดีต่อไทย 2 เรื่องใหญ่ คือการได้แลกเปลี่ยนความก้าวหน้า การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคตับทั้งยา การผ่าตัด การป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ ส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคตับของไทยและภูมิภาคอาเซียน ส่วนประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จะมีรายได้จากการใช้จ่ายของผู้เข้าร่วมประชุมด้วย ทางด้าน รองศาสตราจารย์นายแพทย์ทวีศักดิ์ แทนวันดี นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์ไทยมาก เนื่องจากจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ตรงกับชนิดของเชื้อโรค ซึ่งขณะนี้โรคตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นปัญหา 1 ใน 3 ของอาเซียน และเป็นปัญหาระดับโลก ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคนี้กว่า 500 ล้านคน โดยติดเชื้อไวรัสชนิดบี 350 ล้านคน ชนิดซี 150 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 1 ล้าน 5 แสนกว่าคน สำหรับคนไทยพบว่าสาเหตุการป่วยเป็นโรคตับมาจาก 4 สาเหตุ คือ 1.ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ 5 ชนิดคือ เอ บี ซี ดี และอี แต่ที่พบมากที่สุด คือ ชนิดบี และ ซี ส่วนชนิดอี พบประมาณร้อยละ 3-5 คาดว่าขณะนี้คนไทยประมาณ ร้อยละ 3-4 หรือเกือบ 3 ล้านคน ติดเชื้อไวรัสบีเรื้อรัง และติดเชื้อไวรัสซีประมาณร้อยละ 1 แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยพบมากในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติดในภาคใต้ และกทม. 2.เกิดจากการดื่มสุรา ซึ่งไทยดื่มมากติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก 3.ภาวะไขมันมันพอกตับ มีอัตราเพิ่มมากขึ้นพบได้ 1 ใน 3 ของผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ทำให้ตับเสื่อม ตับแข็งและมะเร็งตับตามมา มะเร็งตับพบในผู้ชายมากกว่าหญิง 4.เกิดจากการใช้ยา โดยเฉพาะการชื้อยากินเอง ใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ ทำให้ตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับ ทั้งนี้พบประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราป่วยจากโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ร้อยละ 5-6 ติดเชื้อตับอักเสบซี ร้อยละ 3-4 พบมากในกลุ่มวัยทำงาน คาดว่าขณะนี้มีประชาชนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีโดยไม่รู้ตัว ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์อาจขาดความรู้ความเข้าใจในการวินิจฉัยโรค จึงต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจทั้งประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันโรค ส่วนการรักษาโรคตับพบว่าค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 216 ล้านบาท ในปี 2552 เป็น 230 กว่าล้านบาทในปี 2556 ประการสำคัญในช่วง 2-3ปีมานี้ การรักษาโรคตับเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะการรักษาไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งเดิมใช้วิธีฉีดยาและให้กินยาทุกสัปดาห์ ติดต่อกัน 6 – 12 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดสายพันธุ์ แต่การรักษาแบบใหม่คือ ให้กินยาอย่างเดียววันละ 2 เม็ด ติดต่อกัน 48 สัปดาห์ ให้ผลหายขาดเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นเรื่องใหม่มากในวงการแพทย์ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมนานาชาติครั้งนี้ สมาคมโรคตับฯ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และสมาคมโรคตับสหรัฐอเมริกาและอิตาลี มาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการดูแลรักษาผู้ป่วย เทคโนโลยี การวิจัยโรคตับที่ประสบผลสำเร็จแล้ว ซึ่งจะเป็นการสร้างและขยายเครือข่ายให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในกลุ่มประเทศอาเซียนรวมถึงขยายเครือข่ายสู่สากล เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางในเรื่องเมดิคัลฮับโรคตับ หากประสบผลสำเร็จจะผลักดันให้ประชุมทุก 2 ปี เป็นประโยชน์กับผู้ป่วยไทยและอาเซียนให้มากที่สุด